"จดหมายสุดขั้วสองฉบับ"
📨จดหมายจาก นักโทษประหาร ถึง พ่อแม่
คุณพ่อคุณแม่ครับ‼️ พรุ่งนี้แล้วที่ผมจะต้องถู
ประหาร ผมไม่ทราบว่าเส้นทางชีวิตของผม เดินทางถึงจุดนี้ได้อย่างไร ตอนนี้ภาพในอดีต
ค่อยๆฉายออกมาทีละภาพผ่านสมองของผม
ตอน 3 ขวบ ผมจำได้รางๆว่า ผมวิ่งเร็วเกินไปจนสะดุดก้อนหินหกล้ม พ่อรีบอุ้มผมขึ้นมาปลอบ
แล้วพ่อใช้ขาเตะก้อนหินสองที
"ไม่ต้องร้องไห้ ก้อนหินก้อนนี้แย่จริงๆ พ่อลงโทษให้แล้ว"
ตอนแรกผมก็ตั้งใจจะกลั้นน้ำตาไม่ยอมร้องไห้
แต่พอเห็นเหตุการณ์กลายเป็นเช่นนั้น ผมก็เลยกอดพ่อแน่นร้องไห้อยู่นาน
เพราะพ่อทำให้ผมเข้าใจว่า การที่ผมหกล้ม ไม่ใช่เพราะผมไม่ระวัง แต่เป็นความผิดของก้อนหินแต่ผมไม่รู้ว่า มันแค่เป็นการปลอบใจจากพ่อเพื่อไม่ให้ผมร้องไห้
แล้วพ่อใช้ขาเตะก้อนหินสองที
"ไม่ต้องร้องไห้ ก้อนหินก้อนนี้แย่จริงๆ พ่อลงโทษให้แล้ว"
ตอนแรกผมก็ตั้งใจจะกลั้นน้ำตาไม่ยอมร้องไห้
แต่พอเห็นเหตุการณ์กลายเป็นเช่นนั้น ผมก็เลยกอดพ่อแน่นร้องไห้อยู่นาน
เพราะพ่อทำให้ผมเข้าใจว่า การที่ผมหกล้ม ไม่ใช่เพราะผมไม่ระวัง แต่เป็นความผิดของก้อนหินแต่ผมไม่รู้ว่า มันแค่เป็นการปลอบใจจากพ่อเพื่อไม่ให้ผมร้องไห้
ตอน 4 ขวบ ผมเอาแต่นั่งเฝ้าดูทีวีจนไม่ยอมกินข้าวแม่ยกชามข้าวมาป้อนให้ผมทีละคำถึงหน้าจอทีวีแม่ทำให้ผมเข้าใจว่า ชีวิตสามารถเสพสุขได้ด้วยวิธีนี้แต่ผมไม่รู้ว่า แม่แค่กลัวว่าผมจะหิว เดี๋ยวก็ต้องมาวุ่นวายหาข้าวให้ผมกินทีหลัง
ตอน 6 ขวบ พ่อพาผมไปซื้อของขวัญคริสต์มาสตกลงกันว่าจะให้ผมซื้อได้หนึ่งอย่างแต่พอผมได้ตุ๊กตาอุลต้าแมนแล้ว ผมยังอยากได้เครื่องร่อนอีกพอพ่อไม่ยอมให้ ผมก็ลงไปนอนกองกับพื้นร้องไห้ไม่ยอมหยุดสุดท้ายพ่อก็ต้องซื้อให้ผมทั้งสองอย่างพ่อทำให้ผมเข้าใจว่า การใช้วิธีนี้จะทำให้ผมได้ในสิ่งที่อยากได้แต่ผมไม่รู้ว่า พ่อแค่กลัวว่าการกระทำของผมจะทำให้พ่อขายขี้หน้าต่อหน้าคนอื่น
ตอน 8 ขวบ ผมคิดอยากจะซักถุงเท้าของผม แต่แม่กลัวว่าผมจะซักไม่สะอาดผมอยากช่วยล้างจาน แม่กลัวผมจะทำจานแตกผมอยากเทน้ำร้อนให้ตัวเอง แต่แม่กลัวผมโดนน้ำร้อนลวกแม่ทำให้ผมเข้าใจว่า ผมไม่สามารถทำงานยากๆหรืองานที่ดูเหมือนมีอันตรายแต่ผมไม่รู้ว่า แม่แค่ไม่อยากเสียเวลามานั่งแก้ไขงานให้ผม
ตอน 10 ขวบ พ่อพาผมไปสมัครเรียนพิเศษสามแห่ง และเรียนกิจกรรมพิเศษอีกสองแห่งทุกๆวันผมจะกลับถึงบ้านด้วยความอ่อนล้าพ่อบอกผมว่า คนเราต้องอดทน จะได้เป็นเจ้าคนนายคน
พ่อทำให้ผมเข้าใจว่า การศึกษาเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัส และน่าเบื่อมากแต่ผมไม่รู้ว่า พ่อแค่อยากให้ผมดูโดดเด่นต่อหน้าญาติมิตร
พ่อทำให้ผมเข้าใจว่า การศึกษาเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัส และน่าเบื่อมากแต่ผมไม่รู้ว่า พ่อแค่อยากให้ผมดูโดดเด่นต่อหน้าญาติมิตร
ตอนอายุ 13 ผมเตะบอลไปทำกระจกหน้าต่างข้างบ้านแตกพ่อพาผมไปกล่าวคำขอโทษแล้วจ่ายค่าเสียหายไปพ่อทำให้ผมเข้าใจว่า แค่กล่าวคำว่า "ขอโทษ"แล้วทุกอย่างก็จบสิ้นได้แบบง่ายดายแต่ผมไม่รู้ว่า พ่อบ่นว่าเพื่อนบ้านถือโอกาสเรียกค่าเสียหายมากเกินไป
ตอนอายุ 15 ผมอยากเรียนเปียโนเหมือนเพื่อนๆ แม่ไปขอยืมเงินญาติๆแล้วซื้อเปียโนให้ผมหลังหนึ่งแต่ผมเล่นได้แค่เดือนสองเดือนก็เบื่อแล้ว ไม่ยอมเล่นต่อแม่ทำให้ผมเข้าใจว่า แม้ที่บ้านมีเงินไม่มาก แต่ก็สามารถใช้จ่ายได้อย่างสุรุ่ยสุร่ายแต่ผมไม่รู้ว่า ที่บ้านต้องใช้เวลาสามปีกว่าจะจ่ายหนี้ก้อนนั้นจนหมด
ตอนอายุ 19 ผมกำลังจะสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยพ่อบอกว่าเป็นทนายความจะช่วยให้ฐานะทางสังคมสูงขึ้นพ่อทำให้ผมเข้าใจว่า ผมแค่ทำตามเส้นทางที่พ่อวาดหวังไว้ก็พอแต่ผมไม่รู้ว่า นั่นเป็นเพราะพ่ออยากเติมเต็มความฝันให้ตนเอง เพราะพ่อสอบไม่ติดตอนเป็นหนุ่ม
ตอนอายุ 20 ผมบอกแม่ว่าอยากได้มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดผมอ้างว่าจะได้โทรกลับบ้านบ่อยๆแม่ส่งเงินมาให้ผมสามหมื่นบาททันทีแต่ผมโทรกลับบ้านปีละไม่กี่หนแทบทุกครั้งจะเป็นการขอเงินเพิ่มแม่ทำให้ผมเข้าใจว่า พ่อแม่เป็นตู้กดเงินชั้นเยี่ยมของผมแต่ผมไม่รู้ว่า พ่อแม่ได้แต่เฝ้ารอโทรศัพท์จากผมด้วยความคิดถึง
ตอนอายุ 24 พอเรียนจบ พ่อก็ช่วยฝากงานให้ผมได้ทำงานในบริษัทใหญ่โตพ่อทำให้ผมเข้าใจว่า ไม่ต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้ดีก็สามารถหางานดีๆทำได้แต่ผมไม่รู้ว่า พ่อต้องอาศัยเส้นสายขนาดไหนกว่าจะฝากผมเข้าทำงานได้
ตอนอายุ 27 ผมเปลี่ยนแฟนเป็นว่าเล่นพวกสาวๆมักบ่นว่าผมเป็นคนที่ไม่มีความรับผิดชอบ
แม่บอกผมว่าพวกเขาไม่คู่ควรกับผมแม่ทำให้ผมเข้าใจว่า ผมเป็นผู้ชายที่มีคุณสมบัติเลอเลิศ
แต่ผมไม่รู้ว่า ผมเป็นแค่ผู้ชายเส็งเคร็งที่หาความดีแทบไม่ได้
แม่บอกผมว่าพวกเขาไม่คู่ควรกับผมแม่ทำให้ผมเข้าใจว่า ผมเป็นผู้ชายที่มีคุณสมบัติเลอเลิศ
แต่ผมไม่รู้ว่า ผมเป็นแค่ผู้ชายเส็งเคร็งที่หาความดีแทบไม่ได้
ตอนอายุ 32 ผมเป็นหนี้พนันบอลเป็นล้านพ่อโกรธจนล้มป่วย แต่สุดท้ายก็ช่วยผมเคลียร์หนี้จนหมดพ่อทำให้ผมเข้าใจว่า ไม่ว่าผมจะทำอะไรผิด พ่อจะคอยช่วยแก้ปัญหาให้ผมได้เสมอ
แต่ผมไม่รู้ว่า นั่นเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่พ่อแม่เตรียมไว้ใช้ในยามแก่
แต่ผมไม่รู้ว่า นั่นเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่พ่อแม่เตรียมไว้ใช้ในยามแก่
ตอนอายุ 35 พ่อแม่ช่วยอะไรผมไม่ได้อีกแล้วผมกับเพื่อนเข้าไปปล้นร้านค้า แล้วผมไปยิงเจ้าของร้านตายคาที่ศาลตัดสินประหารชีวิตผมพ่อแม่ตะโกนด่าว่าช่างไม่ยุติธรรมต่อครอบครัวเราเลยท่านลำบากมาทั้งชีวิต แต่ต้องได้รับผลกรรมที่ไร้ความปราณีในที่สุดผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าเพราะท่านใช้"ความรัก"
ฉกชิงโอกาสที่ผมจะเติบโตเป็นผู้เป็นคนครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉกชิงเอาความสามารถในการอยู่รอดด้วยตัวผมเองครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉกชิงเอาความรับผิดชอบในตัวของผมเองครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉกชิงเอาความสามารถในการอยู่รอดด้วยตัวผมเองครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉกชิงเอาความรับผิดชอบในตัวของผมเองครั้งแล้วครั้งเล่า
วิธีการรักลูกแบบผิดๆ
สุดท้ายแลกมาซึ่งความเจ็บปวดของเราทั้งสองรุ่น
ไม่มีโอกาสให้แก้ตัวอีกแล้วจากการสอนสั่งที่ผิดๆ
มันเป็นมือของพ่อแม่ผมเองที่ส่งผมขึ้นไปยังแท่นประหารอย่างไม่ได้ตั้งใจ
สุดท้ายแลกมาซึ่งความเจ็บปวดของเราทั้งสองรุ่น
ไม่มีโอกาสให้แก้ตัวอีกแล้วจากการสอนสั่งที่ผิดๆ
มันเป็นมือของพ่อแม่ผมเองที่ส่งผมขึ้นไปยังแท่นประหารอย่างไม่ได้ตั้งใจ
พ่อครับ แม่ครับ
กรุณาดูแลตัวเองให้ดี
ผมคงต้องขอลาจากท่านแล้วในวันพรุ่งนี้
หวังว่าในภพหน้าของผม ผมจะได้เรียนรู้วิธีการรับผิดชอบในตัวผมเอง
สำหรับชาตินี้ ผมไม่แน่ใจว่าผมควรจะโกรธท่านหรือรักท่านกันแน่
อย่างไรก็ตาม ลูกต้องกราบขออโหสิกรรมที่ได้ก่อกรรมทำเข็ญให้ท่านต้องเสียใจกับลูกคนนี้มาตลอดชีวิต
กรุณาดูแลตัวเองให้ดี
ผมคงต้องขอลาจากท่านแล้วในวันพรุ่งนี้
หวังว่าในภพหน้าของผม ผมจะได้เรียนรู้วิธีการรับผิดชอบในตัวผมเอง
สำหรับชาตินี้ ผมไม่แน่ใจว่าผมควรจะโกรธท่านหรือรักท่านกันแน่
อย่างไรก็ตาม ลูกต้องกราบขออโหสิกรรมที่ได้ก่อกรรมทำเข็ญให้ท่านต้องเสียใจกับลูกคนนี้มาตลอดชีวิต
จากลูกทรพีที่กำลังจะจากท่านไป 🙏
🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈🎈
📨จดหมายจาก ลูกที่เป็นประธานบริษัท ถึง พ่อแม่
พรุ่งนี้คือวันที่รอคอย ที่จะได้เห็นโรงงานของผมเริ่มต้นสายการผลิตอย่างเป็นทางการเป็นวันแรก ผมสามารถก้าวมาถึงจุดนี้ได้ ต้องขอขอบพระคุณท่านทั้งสองที่ได้สอนให้ผมรู้จักดูแลรับผิดชอบตัวเองมาตลอด ด้วยใจที่เปี่ยมสุขในขณะนี้ ภาพต่างๆในอดีตได้ค่อยๆปรากฏขึ้นทีละภาพภายในใจของผมอย่างซาบซึ้ง
ตอน 3 ขวบ ผมจำได้รางๆว่าผมวิ่งเล่นอย่างไม่ระมัดระวังจนไปสะดุดก้อนหินหกล้ม ท่านให้ผมลุกขึ้นเอง แล้วยังฟาดก้นผมไปสองที บอกผมว่า "ถ้าไม่ระวัง หกล้มคราวหน้า จะโดนฟาดก้นสี่ที" ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบ "ความระมัดระวัง" ของตนเอง
ตอน 4 ขวบ ผมเอาแต่ดูทีวีไม่ยอมกินข้าว ท่านบอกว่าถ้าไม่กินก็ต้องอดข้าวถึงพรุ่งนี้เช้า ผมนึกว่าท่านขู่เล่น สุดท้ายผมหาของกินทั่วห้องครัว ไม่มีอะไรเหลือให้ผมกินเลยแม้แต่ขนมปังสักชิ้น ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบในความ "เอาแต่ใจ" ของตนเอง
ตอน 6 ขวบ ท่านพาผมไปร้านขายของเล่นเพื่อซื้อของขวัญคริสต์มาส ตกลงกันว่าจะให้ผมแค่หนึ่งชิ้น แต่พอผมได้หุ่นยนต์มนุษย์เหล็กแล้ว ยังจะเอาเครื่องร่อนอีกชิ้น พอไม่ให้ผมก็งอแงนอนดิ้นร้องไห้อยู่กับพื้น ท่านไม่สนใจผม หันหลังแล้วเดินออกจากร้านไปเลย สุดท้ายผมต้องหยุดร้อง แล้วรีบเดินตามกลับบ้าน ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "ความไม่เข้าท่า" ของตนเอง
ตอน 8 ขวบ ผมหัดซักถุงเท้า ท่านสอนวิธีการซักล้างให้สะอาด ผมหัดล้างจาน ท่านสอนผมรู้วิธีการล้างที่ถูกต้อง เพื่อให้สะอาดและจานไม่แตก ผมอยากเทน้ำร้อนด้วยตัวเอง ท่านสอนให้รู้จักวิธีการเทที่ไม่ให้น้ำร้อนลวกมือ ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "การดูแลชีวิต" ของตนเอง
ตอน 10 ขวบ ผมเห็นเพื่อนๆมีโอกาสไปเรียนกิจกรรมนอกหลักสูตร เรียนยูโด เรียนศิลปะ เรียนสาระพัดอย่าง ท่านบอกผมว่า เวลาเรียนหนังสือในโรงเรียนให้ตั้งใจเรียน เวลาเลิกเรียนก็เป็นเวลาเล่นพักผ่อนให้เต็มที่ หากยังมีเวลาว่างก็หาหนังสือมาอ่าน ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "การจัดสรรเวลา" ของตนเอง
ตอนอายุ 13 ผมเตะฟุตบอลไปทำกระจกหน้าต่างข้างบ้านแตก ท่านพาผมไปวัดและไปซื้อกระจกด้วยกัน แล้วพาผมไปช่วยกันเปลี่ยนกระจกหน้าต่างให้ข้างบ้านจนเสร็จเรียบร้อย ค่าใช้จ่ายทั้งหมดค่อยๆหักจากค่าขนมของผม ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "ความผิดพลาด" ของตนเอง
ตอนอายุ 15 ผมอยากเรียนเปียโนเหมือนเพื่อนๆ ท่านพาผมไปซื้อหีบเพลง ท่านบอกผมว่าเป่าหีบเพลงให้เก่งก่อน แล้วค่อยตัดสินใจไปเรียนเปียโน ผมก็เลยเป่าหีบเพลงจนกระทั่งทุกวันนี้ และไม่เคยคิดจะไปหัดเล่นเปียโนอีกเลย ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "ความยืนหยัด" ของตนเอง
ตอนอายุ 19 กำลังจะสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย ท่านช่วยให้คำแนะนำและวิเคราะห์เกี่ยวกับคณะต่างๆในมหาวิทยาลัย ให้ผมถามใจตัวเองว่า อยากเรียนอะไรแล้วจงตัดสินใจด้วยตัวผมเอง ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "อนาคต" ของตนเอง
ตอนอายุ 20 ผมอยากเปลี่ยนมือถือ ท่านบอกว่าของเก่ายังไม่เสียอย่าเพิ่งเปลี่ยน ไม่เช่นนั้นก็ไปหางานพิเศษทำเพื่อซื้อเอง ผมไปรับจ้างสอนพิเศษเก็บเงินจนซื้อมือถือเครื่องใหม่ได้ แต่ความสำเร็จครั้งนี้ทำให้ผมภูมิใจยิ่งกว่าที่ได้มือถือเครื่องใหม่ ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "ความอยาก" ของตน
ตอนอายุ 24 ผมเรียนจบและอยากสร้างธุรกิจของตนเอง ท่านบอกผมว่าอย่าใจร้อน หางานพื้นฐานฝึกให้ตนมีประสบการณ์ก่อน สองปีถัดมา ผมตัดสินใจเปิดบริษัทของตนเอง ท่านบอกผมว่าหากสามารถรับได้กับความล้มเหลวก็ไปเปิดได้ ท่านให้ทุนผมมาหนึ่งแสนเหรียญ ให้ผมคืนท่านภายใน 4 ปี ผมรับปากว่าผมจะต้องคืนแน่นอน พร้อมจะแถมบ้านใหม่ให้อีกหนึ่งหลัง ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "ความสำเร็จ" ของตนเอง
ตอนอายุ 27 ผมพาเพื่อนสาวมาแนะนำให้รู้จัก ท่านชมผมเสียเลอเลิศต่อหน้าแฟนผม ท่านบอกผมตอนหลังว่า ต้องแสดงออกถึงคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมของเราเพื่อจะดึงดูดคู่ครองที่มีคุณสมบัติโดดเด่นให้สนใจเรา แล้วท่านยังบอกผมว่า เรื่องความรักหรือคู่ครองให้ผมตัดสินใจเอง ขอให้รักกันจริงก็เดินหน้าต่อไปได้เลย ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "ความสุข" ของตนเอง
ตอนอายุ 32 ผมมอบกุญแจบ้านหลังใหม่ให้ท่าน พอท่านรับกุญแจจากผมแล้วก็หันหลังให้ผม ผมสังเกตเห็นว่าไหล่ท่านกำลังสั่น ผมรู้ว่าท่านกำลังหลั่งน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ ท่านสอนให้ผมรู้จักรับผิดชอบเกี่ยวกับ "คำมั่นสัญญา" ของตนเอง
ตอนอายุ 35 โรงงานของผมพร้อมจะเปิดแล้ว ญาติๆที่เคยกล่าวหาว่าท่านใจร้าย ใจจืดใจดำกับผมมาตลอดต้องปิดปากเงียบกันทุกคน ผมรู้ซึ้งว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านใส่ใจผมทุกขั้นตอน และผมจะใช้วิธีเดียวกันนี้สอนลูกผมให้รู้จักรับผิดชอบ "ตัวเอง" ให้จงได้ ผมแน่ใจว่าลูกๆต้องดีเด่นกว่าผมแน่นอน
🙏 ขอบคุณทั้งคุณพ่อและคุณแม่ 🙏
ผมไม่มีวันลืมความใส่ใจในทุกสิ่งทุกอย่างจากท่านทั้งสอง ไม่เช่นนั้นผมจะไม่มีวันที่มาถึงจุดนี้ได้แน่นอน ลูกคนนี้จะไม่มีวันทำให้ท่านผิดหวัง
❤ จากลูกที่รักพ่อรักแม่สุดหัวใจ ❤
" ใจอ่อนกับลูกคือการทำร้าย
ใจแข็งกับลูกคือความรัก
หากคิดแต่จะรักลูกแบบไม่ลืมหูลืมตา
พึงระวังต้องตามเยียวยาให้ลูกไม่จบไม่สิ้น "
คติพจน์สอนลูกของชาวยิว
หากคิดแต่จะรักลูกแบบไม่ลืมหูลืมตา
พึงระวังต้องตามเยียวยาให้ลูกไม่จบไม่สิ้น "
คติพจน์สอนลูกของชาวยิว
อ้างอิง : "ขจรศักดิ์" แปลและเรียบเรียง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น